แม่บอกว่าอยากให้ผมตายไปเสีย ชีวิตและความคิดของมนุษย์ผัก


คุณจะทำยังไงถ้าคุณถูกขังในร่างกายของตัวเอง? สมองคุณยังทำงานแต่คุณสื่อสารไม่ได้ คุณจะอยู่อย่างไงหากคุณเป็นคนไร้ตัวตนแม้จะรายล้อมด้วยคนที่คุณรัก?

เด็กชายมาร์ติน ผู้กลายเป็นมนุษย์ผัก ถ่ายเมื่อประมาณปี 1990


มาร์ติน พิสทอเรียส เติบโตที่ประเทศแอฟริกาใต้ เขาชอบเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่นทรานซิสเตอร์ และเครื่องส่งสัญญาณต่างๆ เมื่อมาร์ตินอายุ 12 ปี เขาเริ่มมีอาการป่วยแปลกๆ แพทย์ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นโรคอะไร แต่เชื่อว่าน่าจะเป็น Cryptococcal Meningitis (อาการติดเชื้อที่สมองชนิดหนึ่ง)


อาการของมาร์ตินมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็เริ่มขยับตัวไม่ได้ ต่อมาก็ไม่สามารถใช้สายตาได้ จนสุดท้าย

เขาพูดไม่ได้

โรงพยาบาลบอกกับพ่อและแม่ของมาร์ติน คือรอดนี่ย์ และโจแอน ว่าลูกของพวกเขาอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ เหมือนกับมนุษย์ผัก ทางที่ดีที่สุดคือการดูแลเขาที่บ้านจนกว่าเขาจะตายเท่านั้น

แต่เขาไม่ตาย

ทุกๆวัน พ่อของมาร์ตินจะตื่นมาตอนตีห้า แต่งตัวให้มาร์ติน อุ้มเขาใส่รถ ไปส่งเขาที่สถานพยาบาล และปล่อยไว้ที่นั่นประมาณ 8 ชั่วโมง

"เมื่อผมเลิกงาน ก็จะมารับเขากลับบ้าน อาบน้ำให้เขา ป้อนอาหารเย็น และพาเขาเข้านอน ตั้งนาฬิกาจับเวลาไว้ทุกสองชั่วโมง เพื่อพลิกตัวให้เขา ไม่ให้เขานอนติดเตียง" คุณพ่อกล่าว (อาการนอนติดเตียง คือการเป็นแผลเมื่อผู้ป่วยนอนท่าเดิมนานๆ)

ครอบครัวของมาร์ตินดูแลเขาแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 12 ปี

ภาพสุดท้ายก่อนที่มาร์ตินจะป่วย มาร์ตินคือคนตัวเล็กซ้ายสุด ปี 1987

ในวันหนึ่ง แม่เข้าไปหามาร์ติน และบอกกับเขาว่า "แม่อยากให้เธอตาย"

"ฉันรู้ว่ามันฟังดูแย่มากๆ ฉันเพียงแค่ต้องการปลดปล่อยเท่านั้น" โจแอนกล่าว

เธอคิดว่ามาร์ตินไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด

แต่เขาได้ยิน

"ผมจำได้ว่า ประมาณสองปีหลังจากกลายเป็นมนุษย์ผัก ผมเริ่มที่จะตื่นขึ้นมา" มาร์ตินในวัย 39 ปีกล่าว

เขาคิดว่าเขาเริ่ม ตื่นขึ้น เมื่อตอนอายุประมาณ 14-15 ปี "ผมรับรู้ทุกอย่าง เหมือนกับคนปกติ" มาร์ตินกล่าว

แม้ว่าเขาจะสามารถเห็นและเข้าใจทุกอย่าง แต่เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้

"ทุกคนเคยชินกับการที่ผมไม่อยู่ตรงนั้น พวกเขาไม่สังเกตุว่าผมเริ่มกลับมา" เขากล่าว

"ตอนนั้นผมเริ่มช็อกกับความคิดว่าต้องอยู่แบบนี้ตลอดไป โดดเดี่ยวแบบนี้ตลอดไป"

มาร์ตินถูกขังในร่างตัวเอง และเพื่อนคนเดียวของเขา ก็คือความคิดของตัวเอง และเพื่อนคนนี้ก็ไม่ใจดีเสียด้วย

"จะไม่มีใครอ่อนโยนกับผม จะไม่มีใครรักผม"
มาร์ตินที่สถานพยาบาล ปี 1992

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถหนีไปได้

"ชีวิตผมจบสิ้นแล้ว" เขาคิด

ทางเลือกของมาร์ตินที่จะรับมือกับความคิดแย่ๆของเขา ก็คือการเลิกคิดซะ

เขาหยุดฟังความคิดของตัวเอง และเขาก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้เสียด้วย

"ผมไม่คิดเรื่องอะไรทั้งนั้น เหมือนดำดิ่งสู่ความมืด และปล่อยให้ความมีตัวตนของผมจางหายไป"


แต่บางครั้งการเลิกวุ่นวายกับความคิดก็ไม่ง่ายนัก

เช่นเวลาที่รายการ บาร์นี่ย์กำลังฉายในโทรทัศน์

"ผมไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดยังไง ว่าผมเกลียดบาร์นีย์มากขนาดไหน" มาร์ตินกล่าว

ที่สถานพยาบาล ทุกวันเจ้าหน้าที่จะพามาร์ตินมานั่งหน้าทีวี และเปิดรายการเด็กให้ดู ซึ่งก็เป็นรายการเดิมๆ เปิดวนอยู่ทุกวัน

จนวันหนึ่ง มาร์ตินตัดสินใจว่าเขาทนมาพอแล้ว เขาต้องการที่จะควบคุมชีวิตของตัวเองบ้าง เขาเริ่มสังเกตุเวลาโดยการดูเงาดวงอาทิตย์ผ่านห้อง

จนในที่สุดเขาสามารถเปลี่ยนความคิด เช่นความคิดที่น่ากลัวที่สุด  คือตอนที่แม่เขาบอกว่า "อยากให้เขาตายไปเสีย"

"มันเหมือนผมหลุดจากวงโคจรของโลก ออกไปไกลแสนไกล ตอนที่แม่พูดอย่างนั้น" มาร์ตินกล่าว

แต่เขาพยายามต่อสู้กับความคิดที่โหดร้ายในสมองของเขา เขาหาเหตุผลว่าทำไมแม่จึงพูดเช่นนั้น

"เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เข้าใจว่าแม่เสียใจมาก เป็นเพราะแม่รักผมมาก แต่ทุกครั้งที่แม่มองผม แม่เห็นร่างกายที่เคยเป็นลูกของแม่ ร่างกายที่เป็นแค่ผัก"

หลังจากนั้น เขาก็พยายามทำความเข้าใจกับความคิดของตัวเอง และกลับมาเป็นเพื่อนกับความคิดของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เริ่มเป็นเพื่อนที่ดีขึ้นแล้ว

เมื่อจิตใจของมาร์ตินดีขึ้น ร่างกายเขาก็เริ่มดีขึ้นช้าๆ ระบบประสาทของเขาเริ่มพัฒนา และเขาพยายามต่อสู้ทุกวันเพื่อให้คนเห็นว่า เขากลับมาแล้ว

เขาเริ่มจากการเริ่มขยับนิ้วได้ เมื่ออายุประมาณ 20 มาร์ตินเริ่มนั่งตรงๆได้ แต่แพทย์กล่าวว่า สมองของเขายังทำงานได้เท่าเด็กสามเดือน
ภาพมาร์ติน กับโจแอนและรอดนี่ย์ 
งานรับปริญญามาร์ติน 2006 

จนวันหนึ่ง นางพยาบาลที่ดูแลเขา สังเกตุว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป และผลักดันให้ครอบครัวของมาร์ติน พาเขาไปที่สถานพยาบาลอีกแห่ง เพื่อทดสอบระดับสมองของมาร์ติน เช่น การชี้ที่วัตถุของด้วยสายตา และเขาสอบผ่าน

หลังจากนั้น เขาก็มีคอมพิวเตอร์ของตัวเองเพื่อใช้สื่อสาร (เป็นคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้งานเลือกคำพูดด้วยสายตา คล้ายๆ ของ Stephen Hawking)

หลังจากที่เขาสื่อสารได้ สองปีต่อมา เขาก็ได้ทำงานให้รัฐ โดยเป็นพนักงานจัดเอกสาร

เมื่อคอมพิวเตอร์ของพยาบาลที่เคยช่วยเขาเสีย เขาก็ซ่อมให้

ต่อมาเขาออกจากงาน และเปิดบริษัททำเว็บไซต์ และเก็บเงินเรียนจนจบมหาวิทยาลัย

ปัจจุบันมาร์ตินแต่งงานแล้ว และอาศัยอยู่ที่เมืองฮาร์โรว์ ประเทศอังกฤษ

ทั้งครอบครัวที่เอาใจใส่ จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ และความเข้าใจความคิดของตนเองและผู้อื่น คงเป็นส่วนผสมหลายอย่างที่ทำให้มาร์ตินกลับมาใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง

หากเพื่อนๆ ชอบเรื่องนี้ และอยากอ่านรายละเอียด คุณมาร์ตินเขาเขียนหนังสือจากประสบการณ์นี้ไว้ด้วยนะคะ ชื่อ Ghost Boy สามารถอุดหนุนได้ค่ะ

มาร์ตินและโจแอนนา,ภรรยา

เครดิตเนื้อหานี้มาจาก บทความของเว็บไซท์ NPR: Trapped In His Body For 12 Years, A Man Breaks Free
และรายการ Invisibilia จากสถานีวิทยุ NPR ตอน Locked-In Man




0 comments: